น้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ของแท้ vs. น้ำมันหอมสังเคราะห์ (ของเทียม)

น้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ของแท้ vs. น้ำมันหอมสังเคราะห์ (ของเทียม)

เนื่องจากกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยสังเคราะห์ที่อาจหอมถูกใจผู้ใช้มากกว่ากลิ่นของน้ำมันหอมระเหยแท้จากธรรมชาติ แต่อย่าลืมว่า ผู้ใช้จะได้รับเพียงความรู้สึกพึงพอใจทางกลิ่นเท่านั้น โดยไม่มีผลในการบำบัดรักษาตามคุณสมบัติของพืชแต่ละชนิดเหมือนกับที่ได้รับจากน้ำมันหอมระเหย อีกทั้งสารเคมีที่ใช้สังเคราะห์นั้น ยังอาจเป็นอันตรายกับระบบทางเดินหายใจของผู้ใช้หากใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานอีกด้วย ในขณะที่น้ำมันหอมระเหยธรรมชาตินั้นจะปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ผู้ใช้จึงควรพิจารณาให้ดีถึงความคุ้มค่า และความปลอดภัยที่ได้รับจากการใช้น้ำมันหอมระเหย เปรียบเทียบกับการใช้น้ำมันสังเคราะห์

ข้อแตกต่างด้านราคาระหว่างน้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากธรรมชาติ และน้ำมันหอมระเหยสังเคราะห์

  • น้ำมันหอมระเหย Jasmine ที่สกัดจากดอกมะลิจริง ๆ ราคาอยู่ที่หลักแสนบาทต่อลิตร ในขณะที่น้ำมันหอมระเหยสังเคราะห์มีราคาไม่เกิน 5,000 บาท
  • น้ำมันหอมระเหยกลิ่นดอกไม้ไทยส่วนมากที่ขายในประเทศ จะเป็นกลิ่นสังเคราะห์เกือบทั้งหมด เนื่องจากการปลูกและสกัดยังมีต้นทุนที่สูงกว่ามาก
  • เนื่องจากราคาน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติแนวดอกไม้ไทยมีราคาสูงมาก หลาย ๆ ที่จึงนิยมใช้กลิ่นสังเคราะห์ (fragrance) เป็นการทดแทน

เหตุผลที่น้ำมันหอมระเหยหลาย ๆ ชนิดมีราคาแตกต่างกันไป

  • น้ำมันหอมระเหย Melissa แท้ มีราคาประมาณ 200,000-275,000 บาทต่อ 1 ลิตร นั่นเป็นเพราะต้องใช้ใบ Melissa กว่า 6 ตัน เพื่อที่จะสกัดให้ได้ 1 ลิตร
  • น้ำมันหอมระเหย ดอกกุหลาบดามัส มีราคาประมาณ 850,000 บาทต่อ 1 ลิตร นั่นเป็นเพราะต้องใช้ดอกกุหลาบกว่า 3 ตัน เพื่อที่จะสกัดให้ได้ 1 ลิตร
  • น้ำมันหอมระเหย Palmarosa, Lemongrass, Citronella มีราคาถูก เพราะว่าใช้วัตถุดิบไม่มากในการสกัดน้ำมันหอมออกมาให้ได้ 1 ลิตร แต่เนื่องจาก Melissa มีกลิ่นที่คล้ายคลึงกับ Lemongrass กับ Citronella จึงมีผู้ค้าบางรายที่นำน้ำมันหอมระเหยราคาถูกนี้มาผสมกันให้ได้กลิ่นใกล้เคียงกับน้ำมันหอมระเหยราคาแพง ไม่ว่าจะเป็นในกรณีของ Melissa อย่างที่กล่าวมาข้างต้น หรือแม้แต่น้ำมันหอมระเหยดอกกุหลาบ ที่สามารถนำ Palmarosa มาผสมกับน้ำมันบางตัวให้ได้กลิ่นคล้ายคลึงกัน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ซื้อจะต้องซื้อกับผู้ขายที่เชื่อถือได้ เพื่อให้แน่ใจว่า สินค้าที่ได้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป

หลักการเลือกซื้อน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติให้ได้ของแท้ และวิธีการเปรียบเทียบกับกลิ่นสังเคราะห์

  • น้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติจะใช้คำว่า Pure Essential Oil ในขณะที่น้ำมันหอมระเหยสังเคราะห์จะใช้คำว่า Aromatic Oil, Fragrance Oil หรือ Perfume Oil ดังนั้น หากต้องการให้แน่ใจว่าได้น้ำมันหอมระเหยแท้ที่สกัดจากพืชธรรมชาติ ควรตรวจสอบน้ำมันหอมระเหยที่ฉลากระบุไว้ดังกล่าวให้ดี การนำน้ำมันหอมระเหยชนิดสังเคราะห์ที่ได้กลิ่นเหมือนกันมาใช้แทนน้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติ จะไม่มีประโยชน์ในการบำบัดเว้นแต่กลิ่นหอมที่ถูกใจเท่านั้น โดยส่วนมาก กลิ่นแรกหลังจุดอาจจะรู้สึกทึบและหนัก ต่างกับน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติที่ให้กลิ่นที่เบาสบายกว่า สำหรับบางคนที่แพ้กลิ่นฉุน การใช้น้ำหอมสังเคราะห์อาจทำใหรู้สึกวิงเวียนคลื่นไส้ได้ง่าย
  • หากน้ำมันหอมระเหยบรรจุอยู่ในขวดแก้วใส คุณสมบัติหรือประโยชน์ของน้ำมันหอมระเหยจะถูกทำลายด้วยแสงที่มากระทบ กลิ่นหอมจะไม่คงทน และประโยชน์ในการบำบัดก็จะลดลงตามไปด้วย วิธีการเลือกซื้อที่ถูกต้อง คือ น้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติต้องเก็บไว้ในภาชนะแก้วสีทึบและปิดสนิท เพื่อป้องกันแสงแดดและอากาศไม่ให้ทำลายองค์ประกอบในน้ำมันหอมระเหย เช่น ขวดแก้วสีน้ำตาล สีน้ำเงิน หรือสีเขียว เป็นต้น
  • หลีกเลี่ยงการเลือกบรรจุภัณฑ์ที่เป็นขวดพลาสติก หรือมีจุกยาง เนื่องจากคุณสมบัติของน้ำมันหอมระเหยแท้จะละลายพลาสติกหรือจุกยางได้ ทำให้มีความเสี่ยงที่น้ำมันหอมระเหยจะมีการปนเปื้อนด้วยสารปิโตรเคมีที่ใช้ผลิตวัสดุพลาสติกหรือยางเหล่านั้น ขวดบรรจุต้องเป็นขวดแก้วหรืออะลูมิเนียมเท่านั้น จุกหยดที่ใช้ขวดน้ำมันหอมระเหยควรเป็นพลาสติกเกรดพิเศษแบบทนการกัดกร่อน และฝาปิดควรเป็นอะลูมิเนียมหรือพลาสติกแข็งที่ทนทานเช่นกัน
  • ราคาของน้ำมันหอมระเหยโดยปกติแล้วมีราคาหลักพันถึงหลักแสนบาทต่อลิตร โดยที่น้ำมันหอมระเหยจากดอกไม้หอมและพืชบางชนิด จะมีราคาแพงมาก ประมาณ 50,000-500,000 บาทต่อลิตร เช่น มะลิ (Jasmine) ดอกส้ม (Neroli) กุหลาบ (Rose) ไม้จันทน์ (Sandalwood) คาโมไมล์ (Chamomile) ลีลาวดี (Frangipani) ซ่อนกลิ่น (Tuberose) ดอกบัว (Lotus) เพราะฉะนั้นหากท่านเลือกซื้อน้ำมันหอมระเหยได้ในราคาถูกเกินความเป็นจริง ขอให้หยุดคิดสักนิดว่านั่นไม่ใช่ของแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ หรืออาจเป็นเพียงน้ำหอมสังเคราะห์ ที่ผู้ขายเข้าใจผิดและใช้ชื่อเรียกว่าน้ำมันหอมระเหยเท่านั้น ผู้ซื้อจึงควรเลือกจ่ายในราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์
  • หากพบน้ำมันหอมระเหยมีตะกอนอยู่ก้นขวดหรือแขวนลอยอยู่ ขอให้เลี่ยงเพราะน้ำมันหอมระเหยดังกล่าวอาจถูกเก็บไว้นานเกินไป แต่อย่างไรก็ดี น้ำมันหอมระเหยบางชนิดก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงของสีได้ตามการเก็บที่นานขึ้น แม้ว่าอายุการใช้งานของน้ำมันหอมระเหยจะนานถึง 2-3 ปีก็ตาม เช่น โรมันคาโมมายล์จะมีสีน้ำเงินใสอ่อนมาก แต่หากเก็บไว้ประมาณ 3 เดือนจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวและเหลืองใส หรือน้ำมันหอมระเหย Rose Otto เมื่อสกัดใหม่จะมีกลิ่นค่อนข้างแหลม แต่จะนุ่มลงเมื่อผ่านไป 3-6 เดือน หรือน้ำมันหอมระเหยไม้จันทน์ ยิ่งเก็บนานก็จะยิ่งมีกลิ่นหอมขึ้นตามกาลเวลา เป็นต้น
  • ผู้ขายสามารถอธิบายถึงสรรพคุณของน้ำมันหอมระเหยดังกล่าวได้หรือไม่ มีความรู้ในตัวผลิตภัณฑ์มากเพียงใด ผู้ขายควรมี ข้อมูลของน้ำมันหอมระเหยแต่ละชนิด ซึ่งประกอบด้วย ชื่อทางวิทยาศาสตร์ ประเทศที่ผลิต และวิธีการสกัด เป็นอย่างน้อย หรือถ้าให้ดีควรมี Certificate of Analysis หรือ GC/MS ประกอบด้วย เพื่อใช้เป็นตัวบอกรายละเอียดและคุณภาพของน้ำมันหอมระเหยได้ในระดับหนึ่ง
  • ในปัจจุบันมีน้ำมันหอมกลิ่นดอกไม้ไทยหลายชนิดที่เขียนว่าเป็นน้ำมันหอมระเหย เช่น ดอกโมก ดอกแก้ว ลีลาวดี มะลิ ซ่อนกลิ่น หรืออื่น ๆ ที่ขายในขนาดบรรจุเล็กขวดละไม่กี่สิบบาท กลิ่นเหล่านี้เป็นหัวน้ำมันหอม (fragrance) ที่สังเคราะห์ขึ้นมาให้กลิ่นเลียนแบบ มีราคาถูกเพียงแค่ประมาณ 2,000-5,000 บาทต่อลิตรเท่านั้น ไม่ใช่น้ำมันหอมระเหยที่สกัดมาจากดอกไม้ชนิดนั้น ๆ โดยตรง ในปัจจุบัน ดอกไม้ไทยที่มีการสกัดน้ำมันหอมระเหยออกมานั้น จะมีเพียงแค่ มะลิ ลีลาวดี ซ่อนกลิ่น และดอกบัว เท่านั้น ซึ่งราคาก็จะแพงมากอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 100,000-500,000 บาทต่อลิตร จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีน้ำมันหอมระเหยดอกไม้ไทย ของแท้ที่สกัดจากดอกไม้จริง ๆ ขายในราคาถูก

  • ในเมื่อยังไม่มีน้ำมันหอมระเหยที่สกัดได้จากดอกไม้หรือกลิ่นจากธรรมชาติทุกชนิดจำหน่ายในท้องตลาด หรือน้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติที่ต้องการมีราคาสูงเกินงบที่สามารถซื้อได้ ดังนั้น การใช้น้ำมันหอมสังเคราะห์เกรดเครื่องสำอาง (ไม่ใช่เกรดทำเทียนหอมหรือเกรดอุตสาหกรรมที่ใ้ช้ทำพวกน้ำยาดับกลิ่น) ที่ผลิตโดยผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน เช่น Charabot หรือ Fragonard ของฝรั่งเศส หรือที่อื่น ๆ ที่มีคุณภาพ ก็เป็นทางเลือกที่ดีและยอมรับในเรื่องความปลอดภัยได้ในระดับหนึ่งเช่นกัน ยกตัวอย่างกลิ่นที่ไม่สามารถสกัดน้ำมันหอมระเหยได้หรือยังไม่มีในท้องตลาด เช่น กลิ่นดอกโมก ใบชา ชาเขียว นมข้าว กลิ่นผลไม้ต่าง ๆ เบอร์รี่ หรือกลิ่นที่สามารถสกัดน้ำมันหอมระเหยได้ แต่มีราคาแพงเกินงบ เช่น มะลิ กุหลาบ ดอกบัว ลีลาวดี จำปา จำปี เป็นต้น

Main Menu